แพทริค 2

แพทริคอนันดา อินโทรเวิร์ตที่แต่งเพลงจากรักเก่า
และบทเรียนจากความเศร้าที่ทำให้แข็งแกร่งกว่าเดิม

แพทริคอนันดา ผู้เป็นศิลปินที่มักเจ๋งจริง แม้ว่าคำพูดของเขาจะน้อยลงแต่มีความสนุกสนานอย่างมาก เมื่อประตูห้องสัมภาษณ์ปิดลง สิ่งแรกที่เข้าในความคิดคือการคุยที่น่าสนุกของเขา

เรามีโอกาสได้พบกับเขาหลังจากที่อัลบั้มที่สองในชีวิตของเขา “KAI” (ที่แปลว่า ทะเล ในภาษาฮาวาเอียน) เพิ่งถูกปล่อยให้ฟัง แต่เขาจางหน้าออกจากโลกโซเชียลไปเพื่อพักผ่อน หลังจากพบกับเหตุการณ์ที่น่าหงุดหงิดในต้นปีนี้ หลายคนคิดว่าเขาอาจหายตัวเพื่อหลีกเลี่ยงความผิด แต่ไม่ใช่เลย

คลื่นทะเลใหญ่ขนาดเล็กๆ กระทบทุกที่ต่อเขาจนเขาต้องถอยกลับมาตั้งตัวใหม่ จากศิลปินที่เคยปกปิดเรื่องส่วนตัวมากมาย กลับกลายเป็นชื่อที่รุ่งโรจน์บนสื่อทุกแพลตฟอร์ม

เขาเลือกจะต่อสู้ด้วยการพบประสบกับจิตแพทย์และบอกตัวเองว่า “โลกจะหมุนต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรามี 2 ทางเลือก คือทำให้ตัวเราจมอยู่กับมัน หรือลุกขึ้นมาแล้วไปต่อ”

ถึงแม้จะยังมีปัญหาที่ยังไม่ได้แก้ แต่แพทริคกล่าวว่าเขากลายเป็นรุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น กล้าหาญมากขึ้นและพร้อมที่จะตั้งหน้าต่อไป

แพทริค 1

แพทริคอนันดา เป็นเด็กหนุ่มที่มีความขี้อายมากๆ การโตขึ้นมาโดยใหญ่ค่อนข้างที่ผู้ปกครองของเขาได้เลิกกันตั้งแต่เขาอายุ 1 ขวบ จึงโตมาพึ่งกับปู่และย่า แพทริคเป็นเด็กคนเดียวในบ้านที่ไม่ชอบทำกิจกรรมกับผู้อื่นมากนัก ถ้าหากทำก็มักจะทำอยู่คนเดียวโดยเฉพาะ นอกจากนี้ เขายังมีความชอบที่การปลูกต้นไม้และเลี้ยงนก เนื่องจากปู่ของเขามีความชอบด้านนี้

เขาเติบโตมากับปู่และย่า และมีปัญหาเกี่ยวกับช่องว่างทางอารมณ์ในช่วงวัยเป็นหนุ่ม ปัญหานี้มีจำนวนมากมาย บางเรื่องที่ปู่และย่าเข้าใจ แต่ก็มีหลายเรื่องที่เขาไม่เข้าใจในบทบาทของเด็ก Gen Z ของเขา เช่น ทำไมต้องนอนเช้าตื่นเย็น ทำไมถึงพูดน้อย และทำไมไม่ชอบทำบุญ ซึ่งเขาบอกว่าเขาก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง

ที่เรื่องการมีเพื่อนสนิท แพทริคมีเพื่อนบ้างที่ไปเล่นบ้าง แต่เขาไม่ได้อยู่ในเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ เขามีเพื่อนสนิทอยู่คนสองคน โดยจะไปเล่นบ้านเพื่อนบ้าง แต่มักจะเล่นในวงกว้างน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ให้เกิดความคืบหน้าในเรื่องนี้เท่าไรก็ตาม แพทริคอาจมีช่วงวัยที่ยากต่อการเข้าใจของผู้ปกครอง แต่เขาก็กำลังพยายามเดินตามทางที่เขาเลือกไว้ด้วยความแข็งแกร่งและความพร้อมที่จะต่อสู้ต่อไป

งั้นเป็นอะไรที่กระตุ้นให้ผมกลับมาร้องเพลงต่อนั่นคือเมื่อผมได้คุยกับพี่ๆในค่าย พวกเขาบอกว่ามีคนหลายคนที่อยากมาอยู่ที่นี่ แต่ไม่มีโอกาส พวกเราควรจะไปต่อดีกว่านี้ และผมจึงยอมรับในที่สุด ถึงแม้ว่ามันจะไม่ง่าย แต่ผมเห็นว่าการต่อดีกว่าที่เราอยู่ตอนนี้

ผมยังต้องจัดการเรื่องดูแลปู่ย่าอีกด้วย มีความกลัวไหมที่จะกลับมารอบนี้ แรกๆ กลัวมาก แต่เมื่อได้เล่นดนตรี พบคน และได้รับคำแนะนำมาเยอะ ผมก็กลับมาได้ พวกเขาบอกให้ผมโฟกัสที่คนที่รักเรา ที่สนับสนุนเรา และมันก็ได้ผล

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ มีอะไรในชีวิตที่อยากแก้ไขไหม ผมก็คงรีบไปปรึกษาหมอให้ไวขึ้น เพราะเราต้องรู้ว่าเราเป็นอย่างไร และไม่ควรปฏิเสธตัวเองและหลีกเลี่ยงการไปหาหมอ ผมเข้าใจว่าไม่มีใครอยากให้หมอตรวจพบว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า แต่การไปหาหมอทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น

นอกจากนี้ ผมได้เรียนรู้ว่าเราไม่สามารถทำให้คนรู้ว่าตัวเราเป็นยังไงทั้งหมดได้จริงๆ และรู้ว่าใครคือคนที่รักเราจริงๆเมื่อเรามีปัญหา บทเรียนที่ดีที่สุดคือไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเราก็ต้องเดินต่อไป โลกยังหมุนต่อไปเรื่อยๆ และเรามี 2 ทางเลือกคือจมอยู่กับมันหรือลุกขึ้นมาแล้วไปต่อ ผมก็ใช้เวลานานกว่าจะลุกขึ้นมาแล้วไปต่อ แต่ตอนนี้ผมกลับมาแล้วครับ

ขอบคุณบทความจาก : แพทริค